เตือนแล้วนะ 3 อาหาร "ไม่ควร" ใส่หม้อทอดไร้น้ำมัน ไม่อร่อย เสี่ยงมะเร็ง แถมอาจระเบิด!!!

  เตือนภัย! อาหาร 3 ประเภท ที่ไม่ควรนำไปใส่ใน "หม้อทอดไร้น้ำมัน" ทั้งเสียรสชาติ–ก่อมะเร็ง–อันตรายถึงขั้นระเบิด



หม้อทอดไร้น้ำมัน กำลังกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้ายอดนิยมในครัวเรือนปัจจุบัน ด้วยจุดเด่นที่สามารถทำให้อาหารกรอบอร่อยโดยไม่ต้องใช้น้ำมันมากๆ อย่างไรก็ตาม หากใช้งานผิดวิธี หรือเลือกใช้กับอาหารที่ไม่เหมาะสม ก็อาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงได้เช่นเดียวกัน ไม่เพียงแต่อาหารจะไม่อร่อยเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง และแม้กระทั่งเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้หรือระเบิดได้


อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ SOHA ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่า มีอาหารบางประเภทที่ "ห้ามเด็ดขาด" สำหรับการใช้งานหม้อทอดไร้น้ำมัน 

1. ผักใบอ่อน

ผักใบอ่อน เช่น ผักบุ้ง ผักกาด ผักโขม ฯลฯ ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการใช้หม้อทอดไร้น้ำมัน เนื่องจากผักเหล่านี้มีเนื้อสัมผัสบางเบา เมื่อเจอกับลมร้อนความเร็วสูงภายในหม้อ อาจทำให้ใบผักปลิวไปติดกับส่วนทำความร้อนจนไหม้ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ มีรสขม และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ อาจเกิดสาร "พีเอเอช" (PAHs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ที่มักเกิดขึ้นเมื่ออาหารไหม้เกรียมที่อุณหภูมิสูง

นอกจากนี้ ความร้อนสูงยังทำลายคุณค่าทางโภชนาการของผัก และทำให้เนื้อสัมผัสแข็งกระด้าง ไม่น่ารับประทาน รสชาติไม่อร่อย ทางที่ดีควรเปลี่ยนมานึ่ง หรือนำไปผัดแทน เพื่อรักษาทั้งรสชาติ สีของอาหาร และคุณค่าทางโภชนาการ

2. อาหารที่มีซอสหรือของเหลวมาก



อาหารที่มีน้ำซอส เช่น ปลาทอดราดซอส, ซี่โครงหมูอบเปรี้ยวหวาน, ไก่สามรส ฯลฯ ไม่ควรนำเข้าหม้อทอดไร้น้ำมัน เนื่องจากลมร้อนแรงสามารถทำให้ซอสกระเด็นไปทั่วหม้อ ซึ่งนอกจากจะเลอะเทอะแล้ว ยังอาจทำลายผิวเคลือบกันติดของหม้อได้ ส่งผลให้เครื่องพังเร็ว และในบางกรณีอาจเกิดควัน หรือไฟลุกไหม้ได้

อีกทั้งน้ำซอสมักมีส่วนผสมของน้ำตาล ซึ่งเมื่อเจอกับความร้อนสูงจะไหม้กลายเป็นสารอะคริลาไมด์ (Acrylamide) เชื่อมโยงกับความเสี่ยงของโรคมะเร็ง หากรับประทานสะสมในระยะยาว ที่สำคัญการที่ซอสถูกทำให้แห้งจนเกินไปยังทำให้เนื้ออาหารแข็ง แห้ง และเสียรสชาติอีกด้วย จึงควรเลือกใช้วิธีปรุงแบบดั้งเดิม เช่น ตุ๋น, เคี่ยว หรือผัดบนเตาแทน

3. อาหารแช่แข็งที่ยังไม่ละลายน้ำแข็ง




หลายคนมีพฤติกรรมนำอาหารออกจากช่องแช่แข็ง แล้วใส่หม้อทอดไร้น้ำมันทันทีโดยไม่ละลายน้ำแข็งก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้อาหารสุกไม่ทั่วถึง ด้านนอกดูเหมือนสุกแล้ว แต่ความจริงภายในยังดิบอยู่ เสี่ยงต่อการเกิดแบคทีเรีย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

ยิ่งไปกว่านั้น น้ำแข็งที่ละลายจากอาหารอาจไหลซึมลงสู่ส่วนทำความร้อนด้านล่างของหม้อ อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือทำให้แผงวงจรเสียหาย โดยเฉพาะหากเป็นหม้อทอดที่ราคาถูก หรือไม่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ดังนั้น ก่อนนำอาหารแช่แข็งไปปรุงในหม้อทอดไร้น้ำมัน ควรแน่ใจว่าได้ทำการละลายน้ำแข็งอย่างถูกวิธีเสียก่อน

ท้ายที่สุดแล้ว "หม้อทอดไร้น้ำมัน" แม้จะสะดวกและดีต่อสุขภาพ แต่ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวัง และเลือกอาหารที่เหมาะสม การใช้ผิดวิธีอาจนำไปสู่ปัญหาทั้งต่อสุขภาพ และความปลอดภัยภายในบ้าน ส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินของเราได้ โปรดจำไว้ว่า อย่ามองข้ามข้อควรระวังเล็กๆ เหล่านี้ เพราะอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่าในระยะยาว

ญาติผู้ป่วยถูกเครื่อง MRI ดูดร่างเข้าอุโมงค์ ดับสลด เหตุพกของต้องห้ามเข้าห้องตรวจ

 ญาติผู้ป่วยถูกเครื่อง MRI ดูดร่างเข้าไปในอุโมงค์ เสียชีวิตสลด อุทาหรณ์ "ของต้องห้าม" ห้ามนำเข้าห้องตรวจเด็ดขาด

เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่ศูนย์ MRI ในนครเวสต์เบอรี ลองไอส์แลนด์ สหรัฐอเมริกา เมื่อชายวัย 61 ปีถูกสนามแม่เหล็กแรงสูงของเครื่องตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ดูดเข้าไปอย่างรุนแรง ขณะเขาสวมสร้อยคอโลหะขนาดใหญ่ โดยไม่ได้เป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจ

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ศูนย์ Nassau County Open MRI ตามรายงานของตำรวจเขตแนสซอ ระบุว่าชายคนดังกล่าวซึ่งยังไม่เปิดเผยชื่อ ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากแรงดูดของเครื่อง MRI และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล North Shore University Hospital แต่เสียชีวิตในวันถัดมา (17 กรกฎาคม)

แม้เขาไม่ได้เป็นผู้ป่วย แต่เพียงแค่ติดตามภรรยาไปตรวจ MRI เท่านั้น พยานระบุว่าเขาฝ่าฝืนคำเตือนห้ามเข้าไปในห้องตรวจ หลังได้ยินเสียงภรรยาแสดงความเจ็บปวด และรีบวิ่งเข้าไปหาโดยไม่ทันถอดสร้อยโลหะที่สวมอยู่ ส่งผลให้ถูกสนามแม่เหล็กแรงสูงของเครื่องดูดเข้าไปทันที

เครื่อง MRI เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้สนามแม่เหล็กแรงสูงเพื่อสร้างภาพภายในร่างกาย จึงห้ามนำวัตถุโลหะทุกชนิดเข้าภายในห้องตรวจอย่างเด็ดขาด เพราะสนามแม่เหล็กมีแรงดูดมากพอแม้แต่การดึงรถเข็นเหล็กให้พุ่งเข้าไปในเครื่องได้

แพทย์หญิง Payal Sud จากโรงพยาบาล North Shore ให้สัมภาษณ์กับ CBS News ว่า หากผู้เสียชีวิตสวมสร้อยโลหะไว้ที่คอ เขาอาจได้รับบาดเจ็บรุนแรงบริเวณคอจากแรงกระชากฉับพลัน “อาจถึงขั้นขาดอากาศหายใจ หรือได้รับอันตรายต่อกระดูกสันหลังส่วนคอ” เธอกล่าว

การสอบสวนยังคงดำเนินอยู่ โดยตำรวจระบุว่าไม่มีหลักฐานบ่งชี้ความผิดปกติหรือการกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรม


เคยเกิดโศกนาฏกรรมจากเครื่อง MRI มาก่อน

เมื่อปี 2018 ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ชายชื่อ Rajesh Maru อายุ 32 ปี เสียชีวิตหลังจากถือถังออกซิเจนเข้าไปในห้อง MRI โดยเข้าใจผิดว่าเครื่องปิดอยู่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบอกว่าไม่มีอันตราย แต่เครื่องยังเปิดอยู่ แรงแม่เหล็กทำให้ถังออกซิเจนพุ่งกระแทกจนเกิดการรั่วไหลในรูปของเหลว ส่งผลให้เขาขาดอากาศหายใจ


ตามข้อมูลจาก สถาบันแห่งชาติด้านการถ่ายภาพชีวเวชศาสตร์และวิศวกรรมชีวการแพทย์ของสหรัฐฯ (NIBIB) ระบุว่า เครื่อง MRI ใช้สนามแม่เหล็กแรงสูงที่สามารถออกแรงได้มหาศาลต่อวัตถุที่เป็นเหล็กหรือวัสดุที่ถูกดูดด้วยแม่เหล็ก ถึงขั้น “เหวี่ยงรถเข็นคนพิการข้ามห้องได้”


ข้อเตือนภัยจากผู้เชี่ยวชาญ

กรณีเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนถึง อันตรายจากการนำวัตถุโลหะเข้าสู่บริเวณที่มีสนามแม่เหล็กแรงสูง แม้จะเป็นเพียงเครื่องประดับชิ้นเล็ก หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ หากไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด อาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมร้ายแรง


ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า ห้ามเด็ดขาดในการนำโลหะทุกชนิดเข้าสู่ห้องตรวจ MRI ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยก็ตาม เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของทุกคนในสถานพยาบาล

ด่วน!! เตือนสึนามิ หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.4

ด่วน!! เตือนสึนามิ หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.4 (ข่าว ตปท.)


 วันที่ 20 ก.ค. เอพี รายงานว่า ศูนย์เตือนภัยสึนามิแปซิฟิกออกประกาศเตือนภัยสึนามิ บริเวณคาบสมุทรคัมชัตกา ประเทศรัสเซีย หลังเกิดแผ่นดินไหว 2 ครั้ง ในทะเลใกล้พื้นที่ดังกล่าว




ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ ระบุว่า แผ่นดินไหวขนาด 7.4 มีศูนย์กลางลึก 20 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเมืองเปโตรปาฟลอฟสค์–คัมชัตสกี ไปทางตะวันออก 144 กิโลเมตร



โดยเมืองดังกล่าวนี้มีประชากรราว 180,000 คน และก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่นาที เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ในบริเวณใกล้เคียง ล่าสุด ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตในขณะนี้




แผ่นดินไหวครั้งแรกเกิดขึ้นในเวลา 18.02 น. ตามเวลาท้องถิ่น (13.02 น. ตามเวลาประเทศไทย) โดยมีขนาด 5.0 แมกนิจูด จุดศูนย์กลางลึก 33 กิโลเมตร ห่างจากเปโตรปัฟลอฟสก์–คัมชัตสกีไปทางตะวันออกราว 130 กิโลเมตร.



แผ่นดินไหวครั้งที่ 2 ในเวลา 18.28 น. ตามเวลาท้องถิ่น (13.28 น. ตามเวลาประเทศไทย) มีขนาด 6.7 แมกนิจูก ศูนย์กลางลึก 15 กิโลเมตร


แผ่นดินไหวครั้งที่ 3 ในเวลา 18.49 น. ตามเวลาท้องถิ่น (13.49 น. ตามเวลาประเทศไทย) แผ่นดินไหวมีขนาดถึง 7.4 แมกนิจูด จุดศูนย์กลางลึกลงไป 20 กิโลเมตร และหลังจากนั้นยังคงเกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่องอีกหลายครั้ง โดยมีขนาด 5.2-6.7 แมกนิจูด

เกิดแผ่นดินไหว ขนาด 2.9 อ.แม่ฟ้าหลวง

 เวลา 00.22 วันที่ 20 ก.ค. 68 ตามเวลาประเทศไทย เกิดเหตุแผ่นดินไหวโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ในพื้นที่ ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย พิกัด 20.249 องศาเหนือ 99.649 องศาตะวันออก มีความแรงขนาด 2.9 แมกนิจูด ที่ความลึก 2 กม.





มีรายงานว่าจากเหตุแผ่นดินไหวดังกล่าว มีประชาชนในพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยว 1 ชั้นสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานความเสียหายหรือผลกระทบอื่น

เอาแล้วไง กัมพูชา เคลื่อนไหวล่าสุด หลังไทยเตรียมฟ้องศาลโลกปมทุ่นระเบิด

เอาแล้วไง กัมพูชา เคลื่อนไหวล่าสุด หลังไทยเตรียมฟ้องศาลโลกปมทุ่นระเบิด


จากกรณีที่ทหารไทยเตรียมดำเนินการฟ้ององค์การสหประชาชาติ (UN) เนื่องจากทหารฝั่งกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา หรืออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ในพื้นที่ของประเทศไทย จนทำให้เจ้าหน้าทีทหารของทาการไทยได้รับบาดเจ็บถึง 3 นาย หลังจากมีการพิสูจน์หลักฐานพบว่า เป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่นั้น


ล่าสุด วันที่ 20 ก.ค. 2568 นายเฮง รัตนะ ผู้แทนรัฐบาลกัมพูชาศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิด โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก HENG ratana ถึงความเคลื่อนไหวของไทย โดยระบุว่า หลังจากทหารไทยเหยียบกับทุ่นระเบิด ทหาร 1 นายถูกตัดขา และบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 2 นาย ตามสื่อรายงานข่าวในเชิงลบจำนวนมาก ที่พยายามทำให้กัมพูชาเสื่อมเสียชื่อเสียง



รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย ได้ร้องขอให้กัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิดเก่า ขณะที่ผู้บัญชาการแนวหน้าของไทยบางคนกล่าวว่า ทุ่นระเบิดเหล่านั้นเป็นของเหลือจากสงคราม ส่วนองค์กร NGO ด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและกระทรวงการต่างประเทศของไทยกล่าวว่า ทุ่นระเบิดเหล่านั้นเพิ่งวางใหม่และพร้อมที่จะฟ้องร้องกัมพูชาต่อสหประชาชาติ


มีคนถามความเห็นผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอบอกว่า โปรดดูประเด็นทางกฎหมายของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดระหว่างประเทศ ในมาตรา 5 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของตนก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ



เห็นได้ชัดว่า มีรูปภาพมากมายบนโซเชียลมีเดียในไทยที่เผยแพร่ภาพทหารไทยกำลังวางทุ่นระเบิดใหม่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลไทยและองค์กรเก็บกู้ทุ่นระเบิดในไทย ได้ดำเนินการสืบสวนหรือร้องเรียนต่อผู้นำไทยเพื่อขอใช้มาตรการป้องกันแล้วหรือยัง? ส่วนกรณีที่ไทยต้องการฟ้องร้องกัมพูชาต่อสหประชาชาตินี้ถือเป็นเรื่องดี ดังนั้นขอให้ฟ้องร้องกัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพราะศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นศาลของสหประชาชาติ


ระวัง! หมอมาเตือนเอง ของใช้ในบ้านที่เป็นพิษที่สุด ชี้คนมากมายใช้กันในปัจจุบัน แนะนำให้โยนทิ้งไปซะ

 ระวัง! หมอมาเตือนเอง ของใช้ในบ้านที่เป็นพิษที่สุด ชี้คนมากมายใช้กันในปัจจุบัน แนะนำให้โยนทิ้งไปซะ (ข่าวตปท.)

ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่หลาย ๆ บ้านจะประสบปัญหาเกี่ยวกับกลิ่นตกค้าง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นจากอาหารที่อบอวลข้ามคืน หรือแม้กระทั่งกลิ่นของสัตว์เลี้ยง เพราะฉะนั้นหลายคนจึงแก้ปัญหาด้วยการลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์ปรับอากาศมาใช้ในบ้านเรือน เพื่อให้มั่นใจว่ากลิ่นไม่พึงประสงค์จะหายไปและมีความหอมสดชื่นเข้ามาแทน


แต่อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.เปดี มิร์ดามาดี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด จากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ที่มักจะออกมาให้คำแนะนำด้านสุขภาพผ่านแอปฯ TikTok ได้เตือนถึงของภายในครัวเรือนชิ้นหนึ่ง ที่มีความเป็นพิษมากที่สุดในบ้าน ซึ่งของดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายใช้กันเป็นประจำทุกวัน และเขาแนะนำว่าควรจะหยุดใช้และโยนมันทิ้งไปทันที



โดยเรื่องนี้มีที่มาจาก เว็บไซต์ต่างประเทศ Unilad รายงานว่า ในคลิปหนึ่งของ ดร.เปดี เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 เขาได้ออกมาอธิบายว่า ของที่คนใช้กันในครัวเรือนบางอย่าง อาจเชื่อมโยงกับอาการคันตาหรืออาการภูมิแพ้ ในกรณีเลวร้ายที่สุด ยังทำให้เกิดอาการหอบหืดรุนแรงอีกด้วย ซึ่งของชิ้นนั้นก็คือ น้ำหอมปรับอากาศแบบเสียบปลั๊ก ที่ผู้คนใช้กันโดยทั่วไปในสหรัฐฯ



เนื่องจาก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จำนวนมาก มีสารเคมีที่เป็นพิษ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ (formaldehyde) และสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่จะเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านการหายใจ ซึ่งอากาศที่เราหายใจเข้าไปก็คือวิธีการง่ายและเร็วที่สุดที่จะนำสารพิษเข้ามาสู่ร่างกายของเรา หากมีน้ำหอมปรับอากาศแบบเสียบปลั๊กใด ๆ ในบ้านหรือรถ ให้ปิดและโยนมันทิ้งไปซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนในบ้านมีอาการภูมิแพ้หรือหอบหืด



นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Indoor Doctor มีผลการศึกษาวิจัย พบว่า มีน้ำหอมปรับอากาศถึง 86% ที่มีสารพาทาเลต (phthalates) ซึ่งอาจขัดขวางการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และทำให้เกิดปัญหาด้านการสืบพันธุ์ แถมน้ำหอมปรับอากาศทั่ว ๆ ไป ก็มักจะมีฟอร์มาลดีไฮด์ ที่เชื่อมโยงกับมะเร็งในจมูกและลำคอ รวมถึงมีสาร VOCs ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบหืดในเด็ก



อย่างไรก็ตาม ดร.เปดี ยังย้ำอีกว่า ใครที่ยังใช้น้ำหอมปรับอากาศแบบนี้ ให้ทำเพื่อตัวเองและครอบครัวด้วยการโยนมันทิ้งไปซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากภายในบ้านมีโรคหอบหืดหรือปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจ พร้อมกันนั้น ดร.เปดี ยังแนะนำทางเลือกอื่นๆ สำหรับแก้ปัญหากลิ่นในบ้าน คือ ให้หันมาใช้เครื่องพ่นน้ำมันหอมระเหยแทนนั่นเอง


ข้อมูล Unilad


ด่วน! ไฟไหม้โรงงาน จ.บุรีรัมย์ ยังไม่สามารถคุมเพลิงไว้ได้

 วันที่ 20 ก.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 01.30 น. คืนที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้บริษัทนอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่เลขที่ 398 หมู่ 4 ต.โคกม้า อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ริมถนนสาย24 โชคชัย - เดชอุดม



รถดับเพลิงจากหลายพื้นที่กว่า 20 คันระดมไปให้การช่วยเหลือ แต่เป็นไปด้วยความลำบาก เนื่องจากจุดที่เพลิงไหม้เป็นโกดังเก็บยางพาราเพื่อเตรียมส่งออก รถดับเพลิงจึงทำได้แค่ ไม่ให้ลุกลามต่อไปยังคลังน้ำมันและอาคารอื่น




ผ่านไปกว่า 6 ชม.ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ ภาพตอนเช้าวันนี้ กลุ่มควันไฟได้ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าลอยไปไกลกว่า 10 กม.ขณะไฟยังลุกไหม้ต่อยังไม่มีท่าทีที่จะยุติลงได้ ท่ามกลางรถดับเพลิงยังระดมฉีดน้ำอย่างต่อเนื่อง

นายจำเริญ แหวนเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ได้เดินทางมาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พร้อมระบุว่า จากรายงานที่ได้รับจุดที่เพลิงไหม้ เป็นโกดังเก็บสินค้าเพื่อรอส่งจำหน่าย ซึ่งเป็นยางก้อนและยางแท่งติดไฟได้ดีทำให้ไม่สามารถดับไฟได้ลำบาก

ส่วนควันไฟที่ลอยออกไปเท่าที่ทราบ ไม่ใช่ควันจากสารเคมีไม่เป็นอันตรายต่อคน ตอนนี้ได้กำชับให้ผู้นำชุมชนที่ควันลอยไปถึง ให้สวมหน้ากากอนามัยเอาไว้ก่อน ส่วนค่าความเสียหายยังไม่สามารถประเมินได้ รวมถึงสาเหตุเป็นเพราะอะไรที่ยังต้องสอบสวนต่อ

สำหรับโรงงานแห่งนี้เคยเกิดเพลิงไหม้มาแล้ว 1 ครั้งเมื่อปี 2563 ครั้งนั้นมูลค่าความเสียหายประมาณ 5 ล้านบาท แต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าหลายเท่าตัว

ผู้สื่อข่าวจังหวัดบุรีรัมย์ รายงาน