รู้แล้ว ลูกทั้ง 3 คนของ “สีกากอล์ฟ” มีใครเป็นพ่อแท้ๆ บ้าง

  หลังจากก่อนหน้านี้“หนุ่ม กรรชัย” ได้สัมภาษณ์ “สีกากอล์ฟ” ถึงเบื้องลึกชีวิตส่วนตัว เธอเล่าว่า ตนเองเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาจากจังหวัดพิจิตร เคยมีชีวิตสมรสกับทหารเรือแต่ใช้ชีวิตร่วมกันได้เพียง 1 ปี ก่อนจะแยกทางกัน ต่อมาเธอพบรักใหม่กับดีเจคนหนึ่งในจังหวัดพิจิตร แม้จะรู้ว่าเขามีครอบครัวอยู่แล้วก็ตาม และด้วยเหตุนี้จึงเกิดปัญหาเรื่องการรับรองบุตร จนต้องให้พระรูปหนึ่งมารับรองลูกให้แทน



May be an image of ‎2 people, television, newsroom and ‎text that says '‎۷ शरत วัย ក הוח Vate นารีพิฆาตสงฆ์#5 พระผู้ใหญ่เริงรักสีกากอล์ฟ ชิงสีกันนาว พขยังมีพระในจักรวาลเรอสีกอีกเพีย‎'‎‎


สีกากอล์ฟเปิดเผยว่า ปัจจุบันมีลูก 3 คน โดยคนโตอายุ 13 ปีแล้ว ซึ่งยังไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก เธอเคยบอกกับหนุ่ม กรรชัยด้วยว่า ในบรรดาพระทั้ง 9 รูปที่เคยเกี่ยวข้อง มีบางรูปเป็นพ่อของลูก และบางรูปมีความสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน จนนำไปสู่การตั้งครรภ์และแท้ง ทั้งโดยธรรมชาติและการยุติการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง


ล่าสุด หนุ่ม กรรชัย ได้เปิดคลิปสัมภาษณ์อีกครั้ง ซึ่งสีกากอล์ฟได้เล่าละเอียดถึงพ่อของลูกแต่ละคน โดยลูกคนแรกเกิดจากดีเจที่มีครอบครัวแล้ว และให้ พระสุรพล ซึ่งรู้จักกันมารับรองบุตร ส่วนลูกคนที่สองเกิดจากการแต่งงานกับ ดร.สุริยา ที่สึกจากพระแล้วมาร่วมชีวิตกันแบบถูกต้องตามกฎหมาย










ต่อมาหลังจากคลอดลูกคนที่สองได้ไม่นาน เธอตั้งครรภ์อีกครั้งกับ เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตอนนั้นเธอยังไม่ได้เลิกรากับ ดร.สุริยา ทำให้เครียดมากและไม่ต้องการเก็บลูกคนที่สามไว้ เนื่องจากจับได้ว่าพระรูปดังกล่าวมีหญิงอื่น จึงขอเงินจากท่านไปซื้อยาขับเลือดและยุติการตั้งครรภ์ หลังจากนั้นก็เริ่มห่างกันไป


เธอเล่าว่าช่วงหนึ่ง เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก แสดงอาการไม่พอใจที่เธอตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ แต่ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มมีความระแวงกันและกัน โดยเธอเคยเห็นข้อความจากหญิงสาวรายหนึ่งส่งมาว่า “คิดถึงจัง” ทั้งที่บันทึกชื่อไว้ว่าเป็นพระ เมื่อเธอถาม ท่านไม่ตอบ แต่กลับทุบโทรศัพท์ทิ้ง


เหตุการณ์บานปลายถึงขั้นอันตราย ขณะเธอเดินทางไปเชียงใหม่กับเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก ได้มีหญิงสาวหน้าตาอ่อนวัยตามมามีเรื่องด้วย และถึงขั้นคว้าปืนของพระรูปนั้นมายิงใส่เธอ แต่โชคดีที่ปืนด้าน กระสุนไม่ลั่น ทำให้เธอรอดชีวิตมาได้



ช่วงท้าย สีกากอล์ฟกล่าวทั้งน้ำตาว่า “หนูทำยังไงก็ได้ ให้ลูกหนูมีชีวิตที่ดี” พร้อมเผยเพิ่มเติมว่า เธอรู้ตั้งแต่ต้นว่า ดร.สุริยาไม่มีฐานะ แต่ก็เลือกใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ช่วงเวลานั้นเธอก็มีปัญหาครอบครัว กระทั่งเลิกรากับ ดร.สุริยา ก่อนจะมาเจอกับ พระมหาบุญเลิศ วัดใหม่ยายแป้น เป็นคนที่ 3

และที่มีประเด็นฮือฮาอีกคนก็คือ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัลยานิมิตร เป็นคนที่ 4 ที่ได้มีสัมพันธ์กันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ด้วยความที่ไม่ได้ป้องกันด้วยการสวมถุงยางอนามัยจึงตั้งท้องอีกครั้ง แต่ตอนนั้นไม่ได้มีสามีเป็นตัวเป็นตน พอรู้ว่าท้องก็ไปบอกกับท่าน แต่ท่านบอกว่าท่านไม่พร้อม


“สีกากอล์ฟ” เล่าว่าหลังจากที่ได้คิดไตรตรองแล้วก็คิดว่า ลูกอีกคนเธอเลี้ยงได้ คนนี้จึงไม่ได้ทำแท้ง เธอจึงเก็บเด็กไว้ กระทั่งลูกคลอดในปี 62 จากนั้นอีกประมาณ 3 – 4 ปี เธอรู้สึกว่าขาดสภาพคล่อง จึงได้ไปขอเงินค่าเลี้ยงดูกับ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัลยานิมิตร ที่เป็นพ่อของลูก แต่ท่านบอกว่าให้ได้แค่ปีละ 1 แสนบาท หรือเดือนละแค่ 8 พันกว่าเท่านั้น


อย่างไรก็ตามทาง “หนุ่ม กรรชัย” ยังบอกอีกว่า ถ้าอดีตหรือท่านเจ้าอาวาสท่านใครที่มีชื่อพาดพิงจากปากของ “สีกากอล์ฟ” สามารถออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงได้ เพราะนี่คือข้อมูลจากฝั่งของ “สีกากอล์ฟ” คนเดียว


 


ตำรวจยัน ไม่ใช่การบุกค้นกุฏิ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยูรฯ

 วันที่ 17 ก.ค 68 ที่วัดประยุรวงศาวาสวรสิหาร ตำรวจ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมเข้าพบพระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อขอตรวจสอบบัญชีและเอกสารทางการเงินของวัด ว่ามีความผิดปกติ หรือมีความเชื่อมโยงกับพฤติกรรมของอดีตเจ้าคุณหรือไม่



ต่อมาเวลา 14.40 น. หลังจากที่ใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ตำรวจบก.ปปป. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เข้าไปพูดคุย และขอข้อมูลเรื่องเงินถายในวัดกับพระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺ โต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร


โดยระหว่างการพูดคุยกันได้มีการนำเอกสารการเงินของวัด รวมถึงสมุดบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องอีกหลายเล่มเข้าไปร่วมทำการตรวจสอบ หลังพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ได้ทยอยเดินทางกลับออกมา โดยหน่วยงานแรกที่ออกมา คือ ป.ป.ท. ระบุว่าการเข้ามาในวันครั้งนี้ไม่ใช่การค้นเป็นเพียงขอข้อมูล และพูดคุยกับเจ้าอาวาสเท่านั้น


ต่อมา พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ผกก.6 บก.ปปป. กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องมาชี้แจง ซึ่งหลังจากนี้ตนเองจะนำข้อมูลต่างๆกลับไปนำเรียนให้กับผู้บังคับบัญชาได้ทราบ แต่ยืนยันว่าวันนี้เป็นเพียงแค่การเข้ามาขอข้อมูลเท่านั้น


ในส่วนเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า เป็นเพียงการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺ โต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาพบเจ้าอาวาสในวันนี้ทางเจ้าว่าได้มอบหนังสือธรรมะติดตัวกลับไปด้วยทุกคน



ทั้งนี้ อยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดจากทั้ง 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการต่อสื่อมวลชนที่ศาลาสกุลไทยในช่วงเวลาต่อไป


cr. khaosod

พลทหารเปิดใจ สู้ต่อแม้ต้องสูญเสียขา อยากกลับไปรับใช้ชาติอีกครั้ง

วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน อายุ 22 ปี เปิดเผยถึงเหตุการณ์ขณะปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนบริเวณจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ขณะที่ชุดลาดตระเวนกองร้อยทหารพราน 2302 ดุสิต ออกปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ได้ประสบเหตุเหยียบกับระเบิดตกค้าง ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาขาดจากแรงระเบิด

พลทหารธนพัฒน์เล่าว่า เขาเข้ารับราชการเป็นทหาร 2 ปี โดยจะปลดประจำการในเดือนตุลาคม 2568 ปกติรับผิดชอบหน้าที่ลาดตระเวนบริเวณชายแดน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดการปะทะกันเมื่อเดือนก่อน ในวันเกิดเหตุได้ออกลาดตระเวนพร้อมกำลังพลจำนวน 7 นาย แบ่งกำลังเป็น 2 ชุด โดยเขาอยู่ในชุดที่ 4 ของกลุ่ม ใช้เส้นทางจากต้นพญาสัตบรรณ ไปยังฐานปฏิบัติการตัว T

ระหว่างปฏิบัติภารกิจ พบเห็นทุ่นระเบิดจำนวน 3 ลูกตั้งอยู่ตามแนวทางเดิน แต่ทุ่นระเบิดที่เขาเหยียบเป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่วางอยู่บนทางเดิน และเขาไม่ทันระวังตัวจนทำให้เกิดระเบิดขึ้นทันที หลังเหตุการณ์ พลทหารธนพัฒน์ยังมีสติ ค่อยๆ กอดขาตัวเอง และตะโกนเรียกเพื่อนทหารที่ได้รับผลกระทบจากแรงระเบิด ก่อนจะพยายามลากปืนและคลานไปเรียกช่วยเหลือให้ช่วยนำตัวออกจากพื้นที่อันตราย เมื่อถูกนำตัวออกจากจุดเกิดเหตุ เขาเห็นว่าขาของตนเองได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นขาด จึงขอให้เพื่อนช่วยตัดขาทิ้ง ก่อนจะได้รับการส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งอาการตอนนี้ปลอดภัยดี

แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พลทหารธนพัฒน์ยืนยันว่าไม่มีความท้อถอยและยังคงอยากกลับไปรับใช้ชาติอีกครั้ง พร้อมขอบคุณกำลังใจที่ได้รับจากประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาสู้ต่อไป

พอเห็นว่าขาตัวเองขาด ผมบอกกับตัวเองว่า หมดอนาคตแล้ว แต่ไม่เป็นไร การมาเป็นทหารในครั้งนี้ ผมสมัครใจมาเอง พร้อมสละแล้ว เพื่อแผ่นดิน พลทหารธนพัฒน์ กล่าว

อดีตทหารพรานไทยลั่น! ไม่ขอโทษ หลังต่อยทหารกัมพูชา อยากฟ้องให้มาที่ศาลไทย

 จากกรณีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุอดีตทหารพรานไทยก่อเหตุทำร้ายร่างกายทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ จนสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในระดับระหว่างประเทศ กระทั่งต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกมาเรียกร้องให้ประเทศไทยแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการให้อดีตทหารพรานรายดังกล่าวออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการ



ล่าสุด วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 นายกฤษฎา โลหิตดี หรือ ทนายโนบิตะ ในฐานะทนายความของนายสมหมาย อดีตทหารพรานผู้ก่อเหตุ ได้ออกมาแถลงถึงจุดยืนของลูกความ โดยยืนยันว่า นายสมหมายจะไม่ออกมาขอโทษต่อกรณีดังกล่าว พร้อมชี้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในเขตแดนประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ภายใต้อธิปไตยของไทย



ทนายกฤษฎาระบุว่า หากฝ่ายกัมพูชาต้องการดำเนินคดี สามารถยื่นฟ้องผ่านกระบวนการยุติธรรมของไทยได้ เนื่องจากเหตุเกิดในราชอาณาจักรไทย แม้ผู้เสียหายจะเป็นทหารกัมพูชา แต่ตามหลักกฎหมายแล้ว คดีต้องพิจารณาภายใต้เขตอำนาจศาลไทยเท่านั้น


ทั้งนี้ ในวันที่ 19 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ นายสมหมายจะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจภูธรพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ โดยทนายความเปิดเผยว่า ขณะนี้ลูกความมีความกังวลใจต่อการถูกเรียกตัวอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านแล้ว อย่างไรก็ตาม ทนายได้อธิบายขั้นตอนทางกฎหมายให้เข้าใจว่า ความผิดที่ถูกตั้งข้อหาเป็นเพียงลหุโทษ หากยอมรับผิดกับพนักงานสอบสวน โทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน และสามารถเปรียบเทียบปรับเพื่อจบคดีได้



ทนายยังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากฝั่งกัมพูชายังไม่พอใจผลการดำเนินคดี และเชื่อว่าผู้เสียหายบาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นปากฉีกหรือตาแตก ก็สามารถรวบรวมหลักฐาน เช่น ผลชันสูตรจากโรงพยาบาล แล้วเดินทางมาฟ้องร้องโดยตรงต่อศาลไทยได้ พร้อมย้ำว่าทุกกระบวนการต้องดำเนินในประเทศไทยเท่านั้น เพราะเหตุเกิดบนผืนแผ่นดินไทย



ทิดแหล่ ให้ข้อมูลเด็ด พฤติกรรมสีกากอล์ฟ ทำไมใครๆก็หลง

 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) อดีตพระครูสิริวิริยธาดา หรือ ทิดแหล่ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร ได้เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีสัมพันธ์ฉาวสีกากอล์ฟ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป.

โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว หรือ (บิ๊กเต่า) รอง ผบช.ก. ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า หลังจากที่ได้เดินทางไปพบกับพระผู้ใหญ่ ณ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ยืนยันว่าได้เข้าไปหารือกับสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย จุดประสงค์เพื่อให้พระชั้นผู้ใหญ่ได้มีส่วนร่วมจัดการกับปัญหานี้ให้จบโดยเร็ว เพราะก่อนหน้านี้ตำรวจได้ให้โอกาสพระที่เกี่ยวข้องไปสึกแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายรูปที่ยังไม่สึก พระบางรูปก็ปล่อยข่าวว่าสึกแต่ยังไม่ได้สึกก็มี


ตำรวจจึงได้ประสานทั้ง 2 นิกาย คือ มหานิกาย และธรรมยุต เพื่อส่งพยานหลักฐานให้ไปดำเนินการทางวินัยกับพระเหล่านี้ เพราะต้องบอกว่าตอนนี้ยังมีพระบางรูปได้แต่งตั้งทนายความขึ้นมาต่อสู้ โดยอ้างว่าเป็นคลิปตัดต่อเพื่อดึงเวลา ซึ่งตำรวจไม่อยากให้ทำเช่นนั้น ตำรวจอยากให้พระทุกรูปรับผิดชอบตนเอง และอยากบอกว่าตำรวจทำงานมาถึงขนาดนี้ ย่อมมีพยานหลักฐานที่เพียงพออยู่แล้ว เรื่องหลักฐานตำรวจไม่กังวล ดังนั้นขั้นตอนต่อไปก็จะต้องเรียกพระที่ยังไม่สึกมาพบตำรวจ และกางหลักฐานที่มีให้ดูกันเองเลย ซึ่งก็เชื่อว่าจะเป็นไปในแนวทางที่ดีและตำรวจจะเร่งดำเนินคดีทางอาญาด้วยเช่นกัน


สำหรับการเข้าสอบปากคำอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ยืนยันว่าการสอบปากคำจาก ทิดแหล่ หรือ พระครูสิริวิริยธาดา (ณรินทร ฐิตวีริโย) นั้นได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมาก ทำให้ตำรวจเข้าใจในพฤติกรรมที่ทำให้ พระตกเป็นเหยื่อของสีกากอล์ฟ รวมถึงเรื่องเงินก็ให้การสอดคล้องกับพยานหลักฐานที่ตำรวจได้มา ซึ่งเป็นการเริ่มสอบปากคำเป็นการเบื้องต้น ยืนยันว่าจะมีการนัดหมายทิดแหล่กลับมาให้ปากคำกับตำรวจอีกครั้งเพื่อสอบถามรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมให้ครบถ้วน


ส่วนจะมีพระเกี่ยวข้องกับสีกากอล์ฟมากกว่า 20 รูปหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่อยากพูดถึงตัวเลข เพราะตอนนี้อยากแก้ปัญหาและฟื้นวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนา สำหรับพระรูปไหนที่ยังไม่ยอมสึกก็จะไล่เก็บให้จบ ส่วนการสืบสวนเส้นทางการเงิน ยืนยันว่าตำรวจก็ทำควบคู่กันไป ซึ่งหลังจากนี้จะบังคับใช้กฎหมายกับทุกคน หากใครดื้อไม่ยอมสึกก็เป็นหน้าที่ของตำรวจดำเนินการ เพราะมีหลักฐานยืนยันว่ามีเรื่องเส้นทางการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกับพระทุกรูป แม้ว่าพระบางรูปจะสึกไปแล้วก็สามารถเรียกกลับมาดำเนินคดีได้



และหากเข้าข่ายการทุจริตก็จะเป็นมูลฐานคดีฟอกเงิน ซึ่งตำรวจดำเนินการไปเยอะแล้ว และก็พบอะไรเยอะพอสมควรแล้ว ดังนั้นเชื่อว่าจะมีความชัดเจนในไม่ช้า และการตรวจสอบเส้นทางการเงิน แค่ตำรวจมีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ 2-3 คดี ก็เพียงพอแล้ว เพราะจะเข้าข้อหายักยอกทรัพย์และทุจริต และคนที่รับเงินก็เข้าข่ายสนับสนุนการกระทำความผิด