เปิดจำนวนยอดเงิน บุ๋ม ปนัดดา มอบให้ทหาร 3 นาย หลังเหยียบกับดัก

 เปิดจำนวนยอดเงิน บุ๋ม ปนัดดา มอบให้ทหาร 3 นาย หลังเหยียบกับดัก






จากกรณณีที่ก่อนหน้านี้ได้มีทหารเหยียบกับระเบิดจนได้รับบาดเจ็บ ล่าสุดทางด้านนักแสดงสาวใจบุญอย่าง บุ๋ม ปนัดดา ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี ได้มอบเงินสดจำนวน 10,000 บาท ให้กับทหาร 3 นาย โดยเผยภาพผ่านอินสตาแกรม boompanadda พร้อมเขียนข้อความว่า





เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 3 นาย ที่เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนช่องบก บุ๋มขอมอบเงินให้รายละ 10,000 บาท และขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฎิบัติหน้าที่ทุกนายค่ะ #มูลนิธิองค์กรทำดี ขอบคุณ น้องฟลุ๊ค @fluke_fd ลูกบุญธรรมของแม่บุ๋มที่ไปเป็นตัวแทนมอบให้แม่นะลูก

เปิด 6 สาขาอาชีพโดนเตือน เสี่ยงตกงานสูง พ่อแม่หลายคนยังปล่อยให้ลูกเรียน

ในยุคที่เทคโนโลยีเติบโตแบบก้าวกระโดด ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่แนวคิดที่ห่างไกลอีกต่อไป แต่มันกำลังแทรกซึมเข้าสู่ทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข การศึกษา การเงิน อุตสาหกรรมการผลิต หรือแม้กระทั่งสื่อสารมวลชน


การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ AI ได้นำมาซึ่งประโยชน์มากมาย แต่ก็สร้างโจทย์ใหญ่ให้กับมนุษย์: เมื่อเครื่องจักรสามารถทำงานได้เร็วกว่า แม่นยำกว่า และต้นทุนต่ำกว่า แล้วมนุษย์จะทำอะไร?


ผู้ปกครอง นักเรียน และคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกสับสนกับอนาคตของอาชีพที่ไม่แน่นอน วุฒิการศึกษา หรือความเชี่ยวชาญที่เคยถูกมองว่าเป็น "ตั๋วความปลอดภัย" ตอนนี้ก็ไม่สามารถการันตีงานที่มั่นคงได้อีกต่อไป


หลายสาขาอาชีพที่เคยถูกมองว่า "ยากที่จะถูกแทนที่" ก็กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการถูกระบบอัตโนมัติเข้ามาแทนที่ แล้วอาชีพไหนบ้างที่กำลังเข้าสู่โซนเสี่ยงสูงในยุค AI? ต่อไปนี้คือ 6 สาขาวิชาชีพที่กำลังถูกเตือนมากที่สุด



1. การผลิตแบบดั้งเดิม


เคยเป็นอุตสาหกรรมที่รองรับแรงงานไร้ทักษะจำนวนมาก แต่ปัจจุบัน การผลิตแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์อุตสาหกรรมและระบบ AI สำหรับตรวจสอบคุณภาพถูกนำมาใช้ในวงกว้างมากขึ้น แทนที่แรงงานจำนวนมากในสายการผลิต


เมื่อเครื่องจักรสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง แม่นยำ และประหยัดมากกว่ามนุษย์ ตำแหน่งของแรงงานไร้ทักษะจึงเริ่มสั่นคลอนมากขึ้นเรื่อย ๆ


2. การดูแลลูกค้าและการขายทางโทรศัพท์ (Telesales)


ปัจจุบัน ศูนย์บริการลูกค้าจำนวนมากได้เปลี่ยนมาใช้ AI ตั้งแต่ระบบตอบกลับอัตโนมัติ การให้คำปรึกษา ไปจนถึงการทำการตลาดผ่านโทรศัพท์ AI สามารถทำงานได้รวดเร็วกว่า ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และที่สำคัญคือ...ผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ


งานบริการลูกค้า ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในอาชีพที่ "หางานง่าย" สำหรับนักศึกษาจบใหม่ บัดนี้กลับเป็นหนึ่งในสาขาที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากระบบอัตโนมัติ


3. พนักงานการเงินพื้นฐาน และเจ้าหน้าที่ธุรกรรมธนาคาร


ตามการคาดการณ์ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ภายในปี 2030 ตำแหน่งงานด้านการเงินพื้นฐานประมาณ 40% ทั่วโลกอาจหายไป ในบางประเทศในเอเชีย หลายธนาคารได้เริ่มลดจำนวนพนักงานที่ให้บริการหน้าเคาน์เตอร์ และหันมาใช้ระบบบริการตนเองอัจฉริยะมากขึ้น


งานที่เคยถูกเรียกว่า “งานทอง” ก็ไม่สามารถต้านทานกระแสเทคโนโลยีได้อีกต่อไป



4. การแปลขั้นพื้นฐาน และนักแปลภาษา


หากในอดีต ภาษาต่างประเทศเคยถูกมองว่าเป็น “ใบเบิกทางสู่อาชีพ” ปัจจุบัน งานแปลพื้นฐานหลายตำแหน่งกลับถูกแทนที่โดย AI เครื่องมือแปลอัตโนมัติสมัยใหม่สามารถแปลได้แม่นยำถึง 98% มีความรวดเร็วแทบจะทันที และต้นทุนต่ำมาก


นักแปลจำนวนไม่น้อยจำเป็นต้องเปลี่ยนอาชีพ หรือฝึกทักษะใหม่เพื่อผันตัวไปสู่งานด้านบรรณาธิการ การพากย์หลายภาษา หรือการแปลเฉพาะทางเชิงลึก


5. งานสื่อและการผลิตเนื้อหาแบบ “สายพาน”


AI ปัจจุบันสามารถเขียนข่าว เขียนบทวิดีโอ สร้างเนื้อหาโซเชียลมีเดีย และแม้กระทั่งเลียนแบบสำนวนการเขียนของมนุษย์ได้ สิ่งนี้กลายเป็นความท้าทายใหญ่สำหรับบรรณาธิการ นักข่าว หรือผู้ผลิตเนื้อหา (content creator) ที่สร้างเนื้อหาแบบทั่วไป ไม่มีลายเซ็นต์เฉพาะตัว


ตำแหน่งประเภท “ป้อนข้อมูล–แก้ไข–โพสต์บทความ” กำลังถูก AI เข้ามาแทนที่ทีละน้อย โดยเฉพาะในบริษัทสื่อขนาดกลางและขนาดเล็ก


6. การวินิจฉัยภาพทางการแพทย์


โรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่งในเอเชีย สหรัฐฯ และยุโรป เริ่มนำระบบ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านฟิล์ม X-ray, MRI, หรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ซึ่ง AI สามารถทำได้ภายในไม่กี่นาที – ขณะที่แพทย์มนุษย์อาจต้องใช้เวลาหลายนาทีถึงเป็นสิบๆ นาที


ในบางโรงพยาบาล จำนวนแพทย์รุ่นใหม่ในสาขารังสีวิทยาลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ AI จะยังไม่สามารถแทนที่แพทย์ได้ทั้งหมด แต่ก็กำลังทำให้ความต้องการบุคลากรระดับต้นในสายงานนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว


เรียบเรียง สยามนิวส์


ข้อมูล soha



พบ 2 ผัวเมียเสียชีวิตปริศนา สาเหตุจากเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ไม่ใช่เพราะไฟดูด

 อีกหนึ่งคดีการเสียชีวิตของสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เป็นปริศนาก่อนถูกคลี่คลายด้วยวิทยาศาสตร์ หลังจากที่ไม่นานมานี้เกิดเหตุสามีภรรยาคู่หนึ่งวัย 69 ปีประกอบอาชีพเป็นพ่อค้าแม่ค้าร้านอาหารเช้าในไต้หวัน ซึ่งขณะที่คู่ค้าเดินทางมาส่งไก่และพบว่าประตูม้วนเหล็กไม่ได้ปิดอยู่ เมื่อเข้าไปถึง ก็ตกใจเมื่อเห็นทั้งสองนอนนิ่งไม่ได้สติ






จากการตรวจสอบพบว่าภายในห้องที่ไม่มีร่องรอยของโดนทำร้ายร่างกายใดๆ เลยจึงรีบโทรแจ้งตำรวจและแจ้งเจ้าหน้าที่รถพยาบาลทันที ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจชี้ให้เห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ชั้นหนึ่งของอาคารในส่วนที่ 2 ของถนนจงซาน ซึ่งไม่มีใครเห็นการแทรกแซงจากภายนอกหรือสัญญาณการต่อสู้ในที่เกิดเหตุ และความเป็นไปได้ที่จะเกิดการฆาตกรรมถูกตัดออกในตอนแรก



จากการสันนิษฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า ผู้เสียชีวิตมีอาการต้องสงสัยเป็นพิษจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่บ้าน แม้ว่านักดับเพลิงจะตรวจไม่พบระดับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่ชัดเจนในบ้านหลังจากมาถึงที่เกิดเหตุ แต่ก็พบว่ามีการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นในอาคารและสวิตช์ถังแก๊สเปิดอยู่ คาดเบื้องต้นว่า ทั้งคู่อาจกลับไปนอนที่ห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จ เนื่องจากการระบายอากาศในห้องไม่ดีจึงถูกวางยาพิษและเสียชีวิตขณะหลับ


ทั้งนี้รายงานผลการตรวจเลือดหลังภรรยาถูกส่งโรงพยาบาลพบว่า ปริมาณคาร์บอนมอนอกไซด์และฮีมในเลือดสูงถึง 72.7% หลังจากที่สมาชิกในครอบครัวของทั้งคู่ทราบข่าว เธอก็รีบไปที่สถานีตำรวจเพื่อบันทึกและรู้สึกว้าวุ่นใจมาก ตำรวจยังเตือนด้วยว่าเมื่ออุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วในฤดูหนาว ประชาชนควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมมีการระบายอากาศที่ดี เมื่อใช้เครื่องทำน้ำอุ่นแก๊สและอุปกรณ์ทำความร้อน เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์สุดสลดที่คล้ายกัน


อย่างไรก็ตาม คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เผย ความเป็นพิษของคาร์บอนมอนอกไซด์เกิดจากคาร์บอนมอนออกไซด์แย่งจับฮีโมโกบินในเม็ดเลือดแดง ทำให้ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงส่วนที่เหลือไม่ปล่อยออกซิเจนให้กับเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ร่างกายขาดออกซิเจน เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เจ็บแน่นหน้าอก หอบเหนื่อย หมดสติ ชัก โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด


โหรฟองสนาน เตือนคนไทย จะเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ กลายเป็นข่าวดังทั่วโลก

 โหรฟองสนาน เตือนคนไทย จะเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ กลายเป็นข่าวดังทั่วโลก



หลายคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว สำหรับ โหรฟองสนาน ได้ทำนายถึงเหตุการณ์ใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น โดยระบุว่าจะเป็นอุบัติภัยครั้งใหญ่ และเป็นข่าวที่ดังระดับโลก ซึ่งปีนี้จะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น 4 ครั้ง โดยครั้งแรกได้เกิดขึ้นไปแล้วคือแผ่นดินไหวที่เมียนมาร์ จนสั่นสะเทือนมาถึงไทย ทำให้เกิดเหตุตึก สตง. ถล่ม


สำหรับอุบัติภัยรอบที่สองนี้ ให้จับตาดู จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคม คือตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 23 สิงหาคม โดยอาจบวกลบไปอีกประมาณ 7 วัน ลักษณะของเหตุการณ์ จะเป็นอุบัติเหตุใหญ่ วินาศสันตะโร สามารถเกิดขึ้นได้ทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นทางดิน น้ำ ลม อากาศ แก๊ส ไฟ หรือควัน หรือระเบิด โดยมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นใกล้หรือในน้ำ



แต่ก็มีเกณฑ์เรื่องไฟและความร้อนที่เด่นชัดเช่นกัน จึงอาจเป็นไฟที่อยู่ใกล้น้ำ มีโอกาสที่จะเกิดกับคนหรือของรักของเมือง ซึ่งจะนำมาซึ่งความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก และจะสร้างความเศร้าโศกเสียใจไปทั่วเมือง


โดยคำทำนายนี้ คำนวณจากหลักปรากฏการณ์ทางโหราศาสตร์ การโคจรของดาวมฤตยู และการผสมโรงของดาวเสาร์กับดาวอังคาร ซึ่งในทางโหรแล้วหมายถึงการเกิดเหตุร้าย


อย่างไรก็ตาม โหรฟองสนานหวังว่าคำทำนายนี้จะผิดพลาดและคลาดเคลื่อน เพื่อไม่ให้เหตุร้ายแรงเกิดขึ้นในประเทศไทย และไม่ให้เป็นข่าวสะเทือนใจไปทั้วโลก


กระทรวงต่างประเทศ แถลงประณามกัมพูชาขั้นสูงสุด

  กระทรวงต่างประเทศ แถลงประณามกัมพูชาขั้นสูงสุด



นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมาแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ที่ทหารไทยได้ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารในพื้นที่ระหว่างการลาดตระเวน ส่งผลให้ทหาร 2 นายได้รับบาดเจ็บ และอีก 1 นายสูญเสียขาซ้าย โดยมีใจความดังนี้


ตามที่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 1568 กําลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทําการ ลาดตระเวนตามปกติในดินแดนของไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหาร นั้น รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ทุ่นระเบิดที่พบ ไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงาน ความมั่นคงตรวจพบนําไปสู่ข้อสรุปได้ว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง



รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทําที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สําคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทําที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ จะดําเนินการตามกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่ และขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดนตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันภายในกรอบทวิภาคี


นายนิกรเดชกล่าวด้วยว่า เหตุกําลังพลของไทยเหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ทําให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย โดยหนึ่งนายข้อเท้าซ้ายขาด ปัจจุบันทหารทุกนายอาการปลอดภัยและอยู่ระหว่างการพัก รักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์จังหวัดอุบลราชธานี กระทรวงการต่างประเทศได้แถลงแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปก่อนหน้านี้ และขอให้ ทหารไทยทุกนายที่ได้รับบาดเจ็บฟื้นตัวโดยเร็ว



สําหรับประเด็นเกี่ยวกับทุ่นระเบิดในพื้นที่นั้นกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ วันที่ 19 ก.ค.2568 ภายหลังการตรวจสอบของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ยืนยันว่าทุ่นระเบิด 8 ลูกที่พบเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่และไม่มีในการใช้งานหรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย


ในขณะที่วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.2568 ได้มีการประชุมฝ่ายเลขานุการของ ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก.ซึ่งเป็นการประชุมระดับปฏิบัติเพื่อแลกเปลี่ยนและจัดเตรียมข้อมูลเพื่อนําเสนอแนวทางการดําเนินการในด้านต่างๆ ให้ที่ประชุม ศบ.ทก.ที่มีกําหนดประชุมในวันพรุ่งนี้ พิจารณาต่อไป


ซึ่งผมได้กล่าวไปในการแถลงข่าวก่อนหน้านี้ว่าเรื่องนี้มีรายละเอียดค่อนข้างมากและมีกรอบการดําเนินการหลายกรอบ ฝ่ายไทยจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงแนวทางการดําเนินการในเรื่องนี้ต่อไป วันนี้กระทรวงการต่างประเทศจึงได้ออกแถลง การณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายนิกรเดช กล่าว


นายนิกรเดช กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า นี่ก็คือช่วงที่สถานการณ์มีความละเอียดอ่อน การสื่อสารในสังคมโดยเฉพาะในช่อง ทางสื่อสังคมออนไลน์อาจจะนําไปสู่ความเข้าใจผิด หรือสร้างความแตกแยกโดยไม่ได้ตั้งใจ กระทรวงการต่างประเทศขอให้สังคมเชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจาก ทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายความมั่นคง เพื่อความสามัคคีกันของคนในชาติซึ่งเป็นสิ่งสําคัญที่สุดในยามนี้